กฎหมายใหม่ตั้งเงื่อนไขสูง หวั่นเปิดช่องนายทุนใหญ่กินรวบ
1 min readนาย Carl Linn ผู้ร่วมก่อตั้ง Cannabox และผู้เชียวชาญด้านกัญชาในไทย ระบุว่า การปรับกฎหมายกัญชาใหม่จะทำให้ร้านกัญชากว่า 65% หายไปจากตลาด เป็นการพลิกโฉมอุตสาหกรรมกัญชาในไทย เนื่องจากนโยบายกัญชาเชิงการแพทย์เป็นปัจจัยกดดันให้ผลผลิตที่สามารถจำหน่ายได้ต้องมีมาตรฐานสูงขึ้น อีกทั้งใบอนุญาตใหม่ๆบีบให้ต้องใช้เงินทุนสูงขึ้นเพื่อที่จะอัพเกรดธุรกิจให้สอดคล้องกับมาตรฐาน เช่น ช่อดอกต้องเป็นเมดิคัลเกรด โปรแกรม track&trace ติดตามสินค้าที่ขาย
“กัญชาสันทนาการยังคงจะอยู่คู่ประเทศไทยแต่ไป แม้กิจการถูกกฎหมายถูกบีบให้ต้องมาตรฐานสูง แต่ผู้ที่ใช้กัญชาทั่วไปจะยังคงหาผลผลิตใต้ดินมาบริโภคได้เหมือนเดิม” นาย Carl Linn กล่าว
ด้านคุณเมย์ เจ้าของร้าน Fat Buds ระบุว่า ธุรกิจกัญชาเปลี่ยนแปลงชีวิตเขาไปตลอดกาล กัญชาสร้างอาชีพให้เราและลูกน้องในร้าน สร้างรายได้ที่มั่นคงให้กับครอบครัวให้มีชีวิตที่ดีขึ้น กิจการกัญชาสามารถดูแลทุกคนที่บ้านได้ ดังนั้นหากกฎหมายเปลี่ยนต้องถูกบีบให้ปิดกิจการร้านกัญชา เขาจะออกไปประท้วงแน่นอน
ขณะที่ Gloria Lai, ผู้อำนวยการสมาคมนโยบายยาเสพติดระหว่างประเทศ ประจำภูมิภาคเอเชีย กล่าวว่า เรากังวลถึงการเปลี่ยนแปลงกฎหมาย ในขณะที่ธุรกิจกัญชาในไทยเติบโตไปมากแล้ว การเปลี่ยนแปลงย่อมกระทบต่อผู้คนหมู่มาก และคำถามที่สำคัญคือ ใครจะได้ประโยชน์จากนโยบายใหม่นี้
“สิ่งที่น่ากังวลที่สุดคือการเปลี่ยนนโยบายโดยตั้งมาตรฐานที่สูงลิ่วจนผู้ประกอบการรายเล็กไม่สามารถเปิดกิจการต่อได้ เหมือนเปิดช่องให้นายทุนใหญ่ได้กินรวบธุรกิจกัญชาอยู่ในมือเพียงไม่กี่ราย ส่วนผู้ประกอบการรายเล็กรายน้อย รวมถึงเกษตรกรท้องถิ่นต้องถูกปิดกิจการ” Gloria Lai กล่าว
ปัจจุบันประเทศไทยมีผู้ที่ลงทะเบียนปลูกกัญชาแล้วมากกว่า 1 ล้านคน และมีผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบการด้านกัญชามากกว่า 6,000 ราย ขณะที่ยอดผู้บริโภคกัญชาในประเทศไทยคาดว่าจะมี 2-3 ล้านคน ซึ่งมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยประเมินว่าอุตสาหกรรมกัญชามีมูลค่ามากกว่าปีละ 1 หมื่นล้านบาท และจะเติบโตเป็น 3-4 หมื่นล้านบาท ภายใน 5-10 ปีข้างหน้า
ขอบคุณภาพและข้อมูลจาก dw.com และ Matichon