อังกฤษ ลุ้นปลดล็อคกัญชาครั้งประวัติศาสตร์ หลังพรรคฝ่ายซ้ายชนะเลือกตั้งในรอบ 14 ปี
1 min readสหราชอาณาจักร-อังกฤษ จ่อเดินเครื่องปลดล็อคกัญชาในครั้งประวัติศาสตร์ หลังพรรคแรงงานผงาดครองเก้าอี้ในสภาได้ตั้งรัฐบาลใหม่ ซึ่งคาดว่าจะมีการผลักดันให้อังกฤษเปิดเสรีกัญชาตามรอยเยอรมันเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและส่งเสริมสุขภาพ หลังจากปัจจุบันอนุญาตให้ใช้เพียง CBD ขณะที่คาดการณ์มูลค่าเศรษฐกิจหากอังกฤษปลดล็อคกัญชาจะสร้างเม็ดเงินได้สูงถึง 8 แสนล้านบาท
ผลสำรวจความคิดเห็นคนในอังกฤษเรื่องการเปิดเสรีกัญชาพบว่า 54% สนับสนุนให้ปลดล็อคโทษอาญาของกัญชา ซึ่งปัจจุบันมีผู้ป่วยที่ใช้ยากัญชาในอังกฤษถึง 1.8 ล้านคน ซึ่งนาย Dan Rowntree ซีอีโอบริษัทจัดอีเวนท์เบียร์ในอังกฤษเชื่อว่า ภายในปี 2030 อังกฤษจะอนุญาตให้ใช้กัญชาสันทนาการ สอดคล้องกับความคิดเห็นของ Mike Morgan-Giles ประธานสหพันธ์กัญชาอังกฤษ มองว่าการชนะเลือกตั้งของฝ่ายซ้ายในครั้งนี้คือโอกาสที่ดีในการปลดล็อกกัญชาในประเทศที่เป็นอนุรักษ์นิยมมากที่สุด
“การปลดล็อคกัญชาในอังกฤษจะช่วยให้ประเทศต่อยอดด้านเศรษฐกิจใหม่เพื่อสร้างรายได้ ทั้งยังส่งเสริมให้ระบบสุขภาพแห่งชาติเข้มแข็งมากขึ้น หากประชาชนเข้าถึงยากัญชาได้โดยง่ายเพื่อใช้รักษาโรค สมาพันธ์ฯ จึงเตรียมเข้าหารือกับระดับรัฐมนตรีเพื่อหาแนวทางขับเคลื่อนประเด็นดังกล่าว หลังจากที่ผ่านมาได้ทำความเข้าใจร่วมกับ สส.ทุกพรรคเรียบร้อยแล้ว” นาย Mike Morgan-Giles กล่าว
เสียงโหวตที่เข้มแข็งของพรรคฝ่ายซ้ายในสภาจะเป็นไฟจุดประกายกัญชา ซึ่งตอนนี้มีบางฝ่ายวิเคราะห์ว่ารัฐบาลมีเสียงเตรียมยกมือโหวตสนับสนุนกัญชาแล้วกว่า 200 เสียง จากสมาชิกสภาทั้งหมด 414 คน โดยเฉพาะพรรคที่มีจุดยืนสนับสนุนกัญชา เช่น พรรค Lib Dems มี สส. 71 เก้าอี้ และ พรรค Greens มี สส. 4 คน ขณะที่สมาชิกอาวุโสในพรรคปีกแรงงานอย่าง Sadiq Khan ได้ออกตัวสนับสนุนพร้อมก่อตั้งคณะกรรมการยาเสพติดแห่งลอนดอน ขณะที่ David Lammy รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ แสดงท่าทีสนับสนุนการปลดล็อคโทษอาญาของกัญชาอย่างชัดเจน
นาย Michael Barnes ผู้เชี่ยวชาญด้านการใช้กัญชาเชิงการแพทย์ของอังกฤษ กล่าวว่า การปลดล็อคกัญชาในอังกฤษจะส่งผลดีโดยตรงต่อด้านสุขภาพและด้านเศรษฐกิจ เป็นการพัฒนาอุตสาหกรรมใหม่ให้สอดคล้องกับเทรนด์ของโลก อันจะนำไปสู่การสร้างเม็ดเงินมากมายเพื่อแก้ปัญหาวิกฤติทางเศรษฐกิจที่ประเทศกำลังเผชิญ ทั้งตัวเลขหนี้สาธารณะ 135 ล้านล้านบาท ซึ่งเกือบจะเท่ากับตัวเลขของ GDP ประเทศแล้ว