‘อนุทิน’ ลุ้นเสียบเก้าอี้นายกฯ ขึ้นแท่น ‘ผู้นำกัญชาไทย’ หลังศาลสั่งฟัน ‘เศรษฐา’ พ้นทำเนียบ
1 min readข่าวลือสะพัด! หลังศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้นายเศรษฐา ทวีสิน พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี กรณีแต่งตั้งผู้ที่ขาดคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญขึ้นดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีทั้งที่รู้อยู่แล้ว จนเป็นเหตุให้เริ่มมีสัญญาณ “นอกสมการการเมือง” ดันเสี่ยหนู นายอนุทิน ชาญวีรกูล ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีมีโอกาสสูงถึง 80% ซึ่งมาพร้อมกับความหวังของอุตสาหกรรมกัญชาที่จะมีผู้นำประเทศที่ถูกเลือกจากสายเขียวอย่างล้นหลาม รวมถึงลุ้นการพัฒนานโยบายไปสู่กัญชาสันทนาการอย่างที่ท่านเคยได้กล่าวไว้กับ Channel Weed Thailand
อนุทิน ชาญวีรกูล มีภาษีในการขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีมากกว่าผู้นำพรรคคนอื่นๆ เนื่องจากเป็นแคนดิเดตนายกฯ พรรคลำดับที่สองในซีกรัฐบาล ประกอบกับการผงาดของ สว. 160 เสียง ที่มีคอนเนคชั่นกับบ้านใหญ่บุรีรัมย์ ตลอดจน สส.พรรคภูมิใจไทยอีก 71 เสียง เมื่อรวมกันแล้วก็สูงกว่าจำนวน สส.ของพรรคเพื่อไทย 141 คน เหนือไปกว่านั้นคือการที่เสี่ยหนูเพิ่งได้รับ “เครื่องราชอิสริยาภรณ์” ระดับสูงเทียบชั้นนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีเพียงไม่กี่คนที่ได้รับเท่ากับว่าเป็นตั๋วการันตีของฝ่ายอนุรักษ์นิยม จึงทำให้ถูกจับตาว่าจะเป็นสัญญาณเบิกทางในการรับ “ตำแหน่งสูงสุด” ของนายอนุทินหลังจากนี้หลังจากนี้หรือไม่
หากพิจารณาตามหมากบนกระดานการเมืองแคนดิเดตนายกที่มีอยู่ในตอนนี้ล้วนบารมีไม่ถึง ไม่ว่าจะเป็น น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ที่ยังไม่พร้อมและแม่ไม่ให้เป็นตอนนี้ นายชัยเกษม นิติสิริ จากพรรคเพื่อไทยก็มีปัญหาสุขภาพ ส่วน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เสี่ยงโดนสกัดจากนายใหญ่ปมวิจารณ์บ้านป่า นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค เด็กลุงตู่พอมีลุ้นอยู่บ้าง แต่ทุกคนล้วนไม่มีคุณสมบัติที่เพียบพร้อมเท่านายอนุทิน ชาญวีรกูล อย่างที่ได้กล่าวมาตอนต้น โดยเหตุที่ทำให้ พรรคเพื่อไทย จำเป็นต้องยอมพรรคภูมิใจไทย นอกเหนือจาก ความอยู่รอดของรัฐบาล ที่กำลังเผชิญศึกหนัก จากคะแนนความนิยมของพรรคเพื่อไทยเองก็ตกต่ำ ประชาชนเบื่อหน่าย และต้องการให้เกิดความเปลี่ยนแปลงโดยหนีไปหาทางเลือกใหม่อย่างพรรคประชาชน (พรรคก้าวไกล) ดังนั้น หาก ”เพื่อไทย“และ ”ภูมิใจไทย“ ไม่ร่วมกันสกัดกั้นล่วงหน้า ในการเลือกตั้งหน้าปี 2570 อาจจะเอาพรรคประชาชนไม่อยู่ จึงเป็นเหตุผลทำให้ทั้งสองพรรคการเมือง ต้องกอดคอร่วมรบกันไปก่อน
หากจับจังหวะเวลานี้ สัญญาณเริ่มบ่งบอกว่า ความสัมพันธ์ในเชิงการเมืองของ “2 ลุง” อนุรักษนิยมเก่าได้หมดไปแล้ว และกำลังเปลี่ยนผ่านสู่ “อนุรักษนิยมใหม่” โดยมี “สีน้ำเงิน” เป็นคีย์แมน พร้อมๆ กับชื่อ “อนุทิน” ที่ถูกพูดถึงมาอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา ดังนั้น ฉากทัศน์การเมืองที่จะปรับ “แกนนำรัฐบาลใหม่” ไปอยู่ในมือค่ายสีน้ำเงิน ย่อมไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้
>>>> ‘อนุทิน’ นายกกัญชา ของสายเขียว
นายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นบุคคลที่เป็นผู้พลิกเกมการนำกัญชากลับไปเป็นยาเสพติด หลังจากโชว์พลังจนรัฐบาลต้องพลิกเกมออก พรบ.ควบคุมแทน จึงได้รับเสียงแซ่ซ้องจากสายเขียวจำนวนมาก ยิ่งไปกว่านั้น หากเสียหนูได้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีย่อมการันตีอนาคตของอุตสาหกรรมกัญชาไทยว่าจะเดินหน้าไปได้ตามที่ท่านเคยเล่าให้ Channel Weed Thailand ฟังว่า
“กัญชาสันทนาการยังเป็นไปได้ แต่เราจำเป็นต้องผลักดัน พรบ.กัญชาให้บรรลุผลเสียก่อน ก่อนจะศึกษาให้คนเกิดความไว้วางใจกัญชา แล้วค่อยเปิดสันทนาการได้ ในเมื่อมันมันมีหลักทางวิชาการออกมารับรองว่าไม่เกิดความเสียหาย ก่อนอื่นต้องยืนยันในหลักการ การใช้กัญชาอย่างถูกต้องและปลอดภัยโดยมีกฎหมายควบคุม เพื่อส่งเสริมสุขภาพ และอุตสาหกรรม ซึ่งจะเป็นผลบวกกับประชาชนพี่น้องเกษตรกร ผู้ประกอบการ นักลงทุน”
“ตอนนี้เหลือเราเพียงพรรคเดียวที่กล้าสัญญาว่าจะไม่นำกัญชากลับไปเป็นยาเสพติด แนวทางการควบคุมกัญชาให้ถูกวิธีโดยและความปลอดภัย คือการควบคุมผ่าน พรบ.กัญชา มิใช้การนำกลับไปเป็นยาเสพติด ยืนยันว่าตอนนี้กฎหมายรออยู่ในสภาอยู่แล้ว” นายอนุทินกล่าว
อย่างไรก็ตามการปลดล็อกกัญชาไทย ทำให้มีโอกาสได้นำภูมิปัญญาของแพทย์พื้นบ้าน การแพทย์ทางเลือกมาใช้ให้เกิดประโยชน์ เป็นตำรับยาที่ได้รับการยอมรับ และบรรจุในบัญชียาหลักไปแล้ว พร้อมกับมีการใช้ในคลินิกกัญชาทั่วประเทศกว่า 1.2 พันแห่ง รักษาผู้ป่วย ไปมากกว่า 1 แสนราย จ่ายยากัญชาไปแล้วหลายล้านขวด ผู้ป่วยสามารถรักษาฟรีและรับยากัญชาฟรีจากระบบประกันสุขภาพแห่งชาติโดยไม่มีค่าใช้จ่าย นอกจากนี้อุตสาหกรรมกัญชาสามารถสร้างมูลค่าเชิงเศรษฐกิจได้สูงกว่า 20,000 ล้านบาท ตลอดจนมีการพัฒนาเป็นกัญชา OTOP ปั้นสุดยอดสินค้าเมืองไทย ปั๊มรายได้ชุมชน หนุนอัพเกรดผลิตภัณฑ์กัญชาไทย เป็นต้น